หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เห็ดหลินจือ เพื่อสุขภาพ

เห็ดหลินจือ (reishi mushroom)
Photo CR: http://reishimushroomelite.com/

ชื่อวงศ์              Ganodermataceae
ชื่อวิทยาศาสตร์  Ganoderma  lucidum (Curtis) P. Karst

เห็ดหลินจือเป็นเห็ดที่มีประวัติใช้ในการรักษาในประเทศจีนมาเป็นเวลานานกว่า 4000 ปี โดยนิยมใช้ในการรักษาโรคตับ ไต ความดันโลหิตสูง ข้ออักเสบ อาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หอบ หลอดลมอักเสบ และแผลในกระเพาะอาหาร  แต่ยุคที่ค่อนข้างให้ความสนใจในเห็ดหลินจือคือยุคของจักรพรรดิ์จินซี  ชาวจีนจะเรียกเห็ดหลินจือว่า Ling Zhi  ซึ่งชาวจีนโบราณมีความเชื่อว่าเห็ดหลินจือนั้นเป็นยาอมตะ ทำให้ร่างการมีสุขภาพแข็งแรง และยังช่วยทำให้จิตใจสงบผ่อนคลาย  เห็ดหลินจือในสมัยโบราณจึงเป็นเห็ดที่มูลค่าสูงมาก(1,2)

โดยธรรมชาติเห็ดหลินจือจะเจริญบนซากต้นไม้ที่ตายแล้ว โดยเฉพาะซากของต้นไม้ผลัดใบเช่น โอ๊ก, เมเปิ้ล, เอล์ม, วิลโลว์, สวีท กัม (sweet gum), แมกโนเลีย และต้นโลคัส (locust)  ส่วนทางภูมิภาคตะวันออกนั้นจะพบขึ้นบนซากต้นพลัม  นอกจากนี้ยังพบตามตอไม้ใกล้พื้นดิน หรือบริเวณดินที่มีซากรากไม้ฝั่งอยู่(2)

เห็ดหลินจือนิยมนำใช้ในการบำรุงหรือรักษาสุขภาพเท่านั้น ไม่นิยมบริโภคเป็นอาหารทั่วไปเนื่องจากมีเนื้อแข็งมากยากต่อการบริโภคปรกติ

องค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญที่พบในเห็ดหลินจือ(1)

ในเห็ดหลินจือจะมีพฤกษเคมีมากกว่า 400 ชนิด ซึ่งที่สำคัญคือ
  • ไตรเตอร์ปีนอยด์ ได้แก่ กรดกาโนเดอริก (ganoderic acid), กรดกาโนสปอริริก เอ (ganosporeric acid A)
  • โพลีแซคคาไรด์ ได้แก่ เบต้าดีกูลแคน (β-d glucan), เฮเทอโรโพลีแซคคาไรด์ (heteropolysaccharide)  และไกลโคโปรตีน (glycoprotein)
  • โปรตีน ได้แก่ LZ-8
  • นิวคลีโอไทด์ ได้แก่ อดีโนซีน  และ 5-deoxy-5’methylsulfinylad-nosine


คุณสมบัติที่สำคัญในการป้องกันและรักษาโรค(1,3,4,5)

จากการศึกษาและวิจัยที่ผ่านมาพบว่าเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการป้องกัน และรักษาโรคหลายประการอันได้แก่ ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน, ต้านอักเสบ, ต้านหลอดเลือดแข็ง, บรรเทาอาการปวด, ป้องกัน และต้านมะเร็ง, ช่วยให้นอนหลับง่าย, ต้านแบคทีเรีย, ต้านไวรัส, ลดระดับไขมัน, ต้านการสร้างผังผืดที่ตับ, ปกป้องตับ, ต้านเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ต้านออกซิเดชั่นกำจัดอนุมูลอิสระ, ต้านภาวะชราภาพ และต้านแผลในกระเพาะอาหาร

เห็ดหลินจือยังถือว่าเป็นสมุนไพรทางเลือกในการร่วมใช้รักษาโรคลูคิเมีย, มะเร็ง, ตับอักเสบ และเบาหวาน  ซึ่งคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาโรคของเห็ดหลินจือที่เป็นที่สนใจศึกษาคือ การควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกัน และการต้านมะเร็ง

ป้องกันและต้านมะเร็ง

ต้านเนื้องอก
ทั้งโพลีแซคคาไรด์ และไตรเตอร์ปีนอยด์ที่พบในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการยั้บยั้งการเจริญของเนื้องอก เช่น  กรดกาโนเดอริกที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งและสามารถยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการลุกลามของเนื้องอก หรือเบต้าดีกูลแคนที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุ้มกันให้เข้าไปยับยั้งการเจริญของเนื้องอกได้

ป้องกันสารเคมี และรังสี
ความสามารถในการป้องกันสารเคมี และรังสีนั้นเป็นผลมาจากการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นโดยโพลีแซ็คคาไรด์สกัดจากเห็ดหลินจือ

รูปแสดงกลไกการต้าน และป้องกันมะเร็งของสารสกัดจากเห็ดหลินจือ
ที่มาของรูป(3)

ยับยั้งเอนไซม์
กรดกาโนเดอริกที่พบในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ farnesyl protein transferase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของโรคมะเร็ง

กระตุ้นให้ผลิตไซโตไคน์
สารสกัดด้วยน้ำของเห็ดหลินจือสามารถกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสร้างไซโตไคน์ต่างๆที่มีบทบาทในการตายของเซลล์มะเร็งเช่น TNF-α

ต้านอักเสบ

กรดการโนเดอริกที่พบในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการยับยั้งกิจกรรมของเอนไซม์ phospholipase A2 (PLA2) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบในร่างกาย ซึ่งคุณสมบัตินี้จะเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเช่น โรคข้ออักเสบ โรคหอบ และโรคสะเก็ดเงินได้

ควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกัน

เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ภูมิคุ้มกัน
สารสกัดจากเห็ดหลินจือซึ่งได้แก่ โพลีแซคคาไรด์, LZ-8 และสารสกัดต่างๆ มีคุณสมบัติในการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (mitogenic activity) โดยสามารถกระตุ้นให้ลิวโคไซท์ผลิตไซโตไคน์ IL-2 ได้
มีการศึกษาที่พบว่าสารสกัดจากเห็ดหลินจือสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันแม้ว่าสัตว์ทดลองจะได้รับยากดภูมิก็ตาม ซึ่งคุณสมบัตินี้จะเป็นประโยชน์ในการใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดที่ผลข้างเคียงของการรักษาทำให้การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง

เพิ่มการผลิตไซโตไคน์ต่างๆของเซลล์ภูมิคุ้มกันในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม
สารสกัดเห็ดหลินจือด้วนน้ำสามารถกระตุ้นให้ T Cell  และแมคโครฟาก ผลิตไซโตไคน์ TNF-α, IL-1b และIL-6 เป็นต้น

ลดการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
สารสกัดเห็ดหลินจือด้วยน้ำสามารถกระตุ้นให้ลิวโคไซท์ผลิตไซโตไคน์ IL-10 ซึ่งเป็นไซโตไคน์ที่มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เพชรฆาต (natural killer cell)
สารสกัดเห็ดหลินจือด้วยน้ำสามารถเพิ่มการทำลายเซลล์เนื้องอกของเซลล์เพชรฆาตในหนูทดลอง

ลดการผลิตสารก่อภูมิแพ้ของแมสต์เซลล์ (mast cell)
สารสกัดเห็ดหลินจือด้วยน้ำ , เมทานอล และคอลโรฟอร์ม สามารถยับยั้งการปล่อยฮิสตามีนจากแมสต์เซลล์ของหนูทดลองได้

กระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์ (complement system)
สารสกัดจากเห็ดหลินจือสามารถกระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์ทั้งทางตรง (classical pathway) และทางอ้อม (alternative pathway) โดยมีการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับสารสกัดจากเห็ดหลินจือจะมีระดับ C3 ในซีรัมเพิ่มขึ้น

ปกป้องตับ

สารสกัดจากเห็ดหลินจือได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ หรือไตรเตอร์ปินอยด์ สามารถปกป้องตับจากพิษของสารเคมีในสัตว์ทดลอง และสามารต้านไวรัสตับอักเสบชนิดบีได้ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี

ลดระดับน้ำตาลในเลือด

สารสกัดเห็ดหลินจือด้วยน้ำสามารถลดการเพิ่มของระดับน้ำตาล และอินซูลินในเลือดในสัตว์ทดลองที่ได้รับการกรอกสารละลายน้ำตาล  โดยกลไกในการลดระดับน้ำตาลนั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องเพิ่มระดับอินซูลินในเลือด เช่นเดียวกับการศึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่พบว่าสารสกัดจากเห็ดหลินจือสามารถลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1C), ระดับน้ำตาลภายหลังอดอาหาร และระดับน้ำตาลภายหลังมื้ออาหารได้

เพิ่มประสิทธิภาพระบบหมุนเวียนเลือด และการทำงานของหัวใจ

สารสกัดจากเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการลดระดับคอลเลสเตอรอล และไขมันในเลือดของสัตว์ทดลอง และยังสามารถลดความดันโลหิตทั้งในสัตว์ทดลอง และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

ต้านแบคทีเรีย และไวรัส

ในเห็ดหลินจือมีสารที่มีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรียทั้งแกรมบวก และแกรมลบ และยังพบว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะบางตัวเมื่อมีการใช้ร่วม
สารสกัดจากเห็ดหลินจือสามารถต้านแบคทีเรียเฮลิโคแบกเตอร์ไพโรไล (Helicobactor pyroli) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ไตรเตอร์ปินอยด์ทีพบในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) ส่วนโพลีแซคคาไรด์ก็มีคุณสมบัติในการต้านไวรัสตับอักเสบ ทั้งนี้อาจมาจากคุณสมบัติในการควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกัน

การนำไปใช้

ถ้าจะดื่มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรทั่วไป ไม่ควรใช้เกิน 1.5 กรัมต่อวัน(6) หรือ ใช้ดอกเห็ดหลินจือฝานบางๆ ประมาณ 2-3 ชิ้น ต้มในน้ำเดือดนาน 10-15 นาที ใช้ดื่มแทนน้ำได้ตลอดเวลา มีรสขมบ้างเล็กน้อย สรรพคุณช่วยให้สดชื่น เสริมภูมิต้านทาน(7)  แต่ถ้ารับประทานในปริมาณมากกว่านี้จัดเป็นยาควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์แผนโบราณก่อนรับประทาน 


ที่มา
  1. Wasser, S. P. (2005). Reishi or Ling Zhi (Ganoderma lucidum). Encyclopedia of Dietary Supplements, 603-622.
  2. Costa, D., Dacey, C., MBA, N. G., Shaffer, M., Varghese, M., Vi3arian, N., & Weissner, W. (2010). Reishi mushroom (Ganoderma lucidum): systematic review by the Natural Standard Research Collaboration. Journal of the Society for Integrative Oncology, 8(4), 148.
  3. Kao, C. H., Jesuthasan, A. C., Bishop, K. S., Glucina, M. P., & Ferguson, L. R. (2013). Anti-cancer activities of Ganoderma lucidum: active ingredients and pathways. Functional Foods in Health and Disease, 3(2), 48-65.
  4. Jin, X., Ruiz Beguerie, J., Sze, D. M. Y., & Chan, G. C. (2012). Ganoderma lucidum (Reishi mushroom) for cancer treatment. Cochrane Database Syst Rev,6.
  5. Zhu, X. L., Chen, A. F., & Lin, Z. B. (2007). < i> Ganoderma lucidum</i> polysaccharides enhance the function of immunological effector cells in immunosuppressed mice. Journal of ethnopharmacology, 111(2), 219-226.
  6. กองควบคุมอาหาร. (2552). บัญชีพืชที่อนุญาติให้ใช้ในเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
  7. เดลินิวส์. (2556). แนะผู้ป่วยโรคมะเร็งใช้ "เห็ดหลินจือ" ต้มดื่มแทนน้ำ (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://www.dailynews.co.th/Content/regional/14652/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น